เครื่องดูดฝุ่นในยุคนี้ไม่ใช่เพียงอุปกรณ์ทำความสะอาดพื้นบ้านเท่านั้น แต่กลายเป็นผู้ช่วยสำคัญที่ช่วยรักษาความสะอาดและสุขภาพของคนในบ้านให้ดีขึ้น เพราะการปัดกวาดเช็ดถูบ้านแบบเดิมไม่สามารถกำจัดเศษฝุ่นละอองขนาดเล็กได้หมดจดอีกต่อไป ยิ่งในปัจจุบันที่ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกในอากาศเป็นสาเหตุของภูมิแพ้และโรคทางเดินหายใจมากมาย การมีเครื่องดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นในทุกบ้าน
แต่เครื่องดูดฝุ่นมีให้เลือกมากมาย ทั้งแบบตั้งพื้น แบบมือถือ แบบหุ่นยนต์ ไปจนถึงเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย หลายคนจึงอาจสงสัยว่าควรเลือกซื้อเครื่องดูดฝุ่นแบบไหนดี หรือต้องดูอะไรบ้างก่อนซื้อ บทความนี้ Bwell จะพาคุณมาทำความเข้าใจทุกปัจจัยที่ควรรู้ก่อนเลือกซื้อ เพื่อให้ได้เครื่องดูดฝุ่นที่ตอบโจทย์บ้านของคุณมากที่สุด

- ประเภทของเครื่องดูดฝุ่นที่ควรรู้ก่อนซื้อ
ก่อนจะเลือกซื้อเครื่องดูดฝุ่น ควรรู้ก่อนว่ามีประเภทใดบ้าง เพราะแต่ละแบบถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ต่างกัน โดยเครื่องดูดฝุ่นตั้งพื้นแบบมีสาย เป็นรุ่นคลาสสิกที่ให้พลังดูดแรงและใช้งานได้ต่อเนื่อง เหมาะกับบ้านขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มาก การดูดฝุ่นทั่วบ้านจบได้ในครั้งเดียว แต่ข้อเสียคือมีสายไฟและขนาดค่อนข้างใหญ่ เคลื่อนย้ายลำบาก ในขณะที่เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย จะเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะให้ความสะดวกและคล่องตัวสูง ไม่ต้องเสียบปลั๊กทุกครั้ง เคลื่อนย้ายได้อิสระเหมาะกับคอนโดหรือบ้านขนาดกลาง แต่ต้องคำนึงถึงระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และเครื่องดูดฝุ่นมือถือขนาดเล็ก ที่เหมาะกับการดูดฝุ่นเฉพาะจุด เช่น โต๊ะอาหาร รถยนต์ หรือเฟอร์นิเจอร์ ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา แต่ไม่เหมาะสำหรับทำความสะอาดพื้นที่ขนาดใหญ่ ควรพิจารณาเลือกให้ตรงกับลักษณะการใช้งานในแต่ละบุคคล
- พลังดูด (Suction Power) หัวใจสำคัญของเครื่องดูดฝุ่น
พลังดูด คือหัวใจสำคัญของเครื่องดูดฝุ่น เพราะเป็นตัวกำหนดว่าทำความสะอาดได้ล้ำลึกแค่ไหน โดยทั่วไป พลังดูดจะวัดได้สองแบบ คือกำลังไฟฟ้า (Watt) ซึ่งบ่งบอกปริมาณพลังงานที่เครื่องใช้ แต่ไม่ได้สะท้อนแรงดูดจริงเสมอไป และแอร์วัตต์ (AirWatt) ซึ่งเป็นค่าที่ใช้วัดแรงดูดจริง ค่ายิ่งสูง เครื่องดูดฝุ่นยิ่งดูดแรงและมีประสิทธิภาพ ขอแนะนำสำหรับเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ควรเลือกที่มีแรงดูดตั้งแต่ 100 AirWatt ขึ้นไป เพื่อให้สามารถดูดฝุ่นและเศษผงได้ทั่วถึง โดยเฉพาะบนพรมหรือพื้นไม้
- ระบบกรองฝุ่น (Filter System)
อีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม คือระบบกรองฝุ่น โดยเฉพาะบ้านที่มีคนเป็นภูมิแพ้หรือมีสัตว์เลี้ยง ควรเลือกเครื่องดูดฝุ่นที่มี HEPA Filter (High-Efficiency Particulate Air) ซึ่งสามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอนได้ถึง 99.97 เปอร์เซ็นต์ อย่าลืมว่าระบบกรองที่ดีไม่เพียงช่วยให้บ้านสะอาดเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการหมุนเวียนของฝุ่นในอากาศ ทำให้บรรยากาศภายในบ้านสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น และควรเลือกเครื่องดูดฝุ่นที่สามารถถอดล้างฟิลเตอร์ได้ง่าย เพื่อยืดอายุการใช้งานและประหยัดค่าบำรุงรักษาด้วย
- ความจุของถังเก็บฝุ่นและระบบเก็บฝุ่น
เครื่องดูดฝุ่นแต่ละรุ่นมีขนาดถังเก็บฝุ่นแตกต่างกัน หากบ้านคุณมีพื้นที่กว้างหรือมีสัตว์เลี้ยง ควรเลือกเครื่องดูดฝุ่นที่มีถังขนาดใหญ่เพื่อไม่ต้องเทบ่อย ส่วนคอนโดมิเนียมหรือห้องพักขนาดเล็ก เครื่องที่มีถังขนาด 0.5 ถึง 1 ลิตรก็เพียงพอ นอกจากนี้ เครื่องดูดฝุ่นยุคนี้ยังมีระบบเก็บฝุ่นสองแบบ คือแบบใช้ถุง (Bagged) ช่วยลดการสัมผัสฝุ่นโดยตรง เหมาะกับคนแพ้ฝุ่น และแบบไม่ใช้ถุง (Bagless) ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะดูแลรักษาง่าย เพียงเทฝุ่นออกและล้างน้ำได้ทันที

- แบตเตอรี่และระยะเวลาการใช้งาน (สำหรับเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย)
สำหรับเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย แบตเตอรี่เป็นหัวใจหลักในการตัดสินใจ ควรดูความจุ (หน่วย mAh) และระยะเวลาการใช้งานต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รุ่นมาตรฐานจะใช้งานได้ราว 20 ถึง 40 นาที แต่รุ่นพรีเมียมบางรุ่น เช่น เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Bwell สามารถใช้งานได้นานถึง 60 นาที เลยทีเดียว แนะนำให้เลือกเครื่องที่พลังงานรองรับกับลักษณะการใช้งานของเรา รวมถึงขนาดพื้นที่ที่ใช้ดูดด้วย หากพื้นที่กว้าง แนะนำให้ดูเครื่องที่มีขนาดแบตเตอรี่จุสูงก็จะดีที่สุด
- น้ำหนักและการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์
น้ำหนักของเครื่องดูดฝุ่นส่งผลต่อความสะดวกในการใช้งานโดยตรง โดยเฉพาะหากต้องยกเครื่องขึ้นดูดฝุ่นบนชั้นวาง หรือใช้ดูดฝุ่นบนเพดาน ลากเครื่องดูดฝุ่นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม ดังนั้นเครื่องดูดฝุ่นที่น้ำหนักเบา (ไม่เกิน 2 กิโลกรัม) จะช่วยลดความเมื่อยล้าได้มากเลยทีเดียว ยิ่งใครที่ดูดฝุ่นทุกวัน เชื่อเถอะน้ำหนักเบาช่วยได้มาก นอกจากนี้ การออกแบบด้ามจับและหัวดูดที่หมุนได้หลายทิศทางจะช่วยให้ควบคุมทิศทางได้ง่าย สามารถดูดฝุ่นในพื้นที่แคบหรือใต้เฟอร์นิเจอร์ได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วย
- เสียงขณะทำงานและระบบลดเสียงรบกวน
ระดับเสียงของเครื่องดูดฝุ่นเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรพิจารณา โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง ควรเลือกเครื่องดูดฝุ่นที่มีระดับเสียงไม่เกิน 70 เดซิเบล (dB) ซึ่งจะให้เสียงทำงานเงียบและไม่รบกวนผู้อื่น เครื่องดูดฝุ่นรุ่นใหม่ ๆ อย่าง Bwell ได้ออกแบบระบบลดเสียงรบกวนภายในมอเตอร์ ทำให้ใช้งานได้ในทุกช่วงเวลาโดยไม่ก่อความรำคาญ รับรองตอบโจทย์ใช้งานได้สะดวก ไม่ว่าคุณจะอยู่คอนโดมิเนียม บ้านทาว์นโฮม หรือบ้านเดี่ยวที่ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก อยู่ที่ไหนก็เวิร์ก
- การรับประกันและบริการหลังการขาย
เครื่องดูดฝุ่นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานบ่อย ดังนั้นควรเลือกแบรนด์ผู้จัดจำหน่ายที่มีศูนย์บริการในประเทศไทย และมีการรับประกันทั้งตัวเครื่องและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่มีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ภายใน การมีบริการหลังการขายที่ดีจะช่วยให้ใช้งานได้มั่นใจและยาวนาน
การเลือกซื้อเครื่องดูดฝุ่นไม่ใช่แค่ดูเรื่องราคา แต่ควรพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งประเภทของเครื่องดูดฝุ่น พลังดูด ระบบกรองฝุ่น ความจุแบตเตอรี่ และความสะดวกในการดูแลรักษา เพื่อให้เครื่องตอบโจทย์การใช้งานจริงและคุ้มค่ากับการลงทุนที่สุด
หากคุณกำลังมองหาเครื่องดูดฝุ่นที่ครบทั้ง พลังดูดแรง ประสิทธิภาพสูง และดีไซน์พรีเมียมใช้งานได้ไม่ตกเทรนด์ แนะนำให้ลองพิจารณา เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Bwell ซึ่งเป็นแบรนด์คุณภาพที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานภายในบ้านโดยเฉพาะ มีทั้งระบบกรองฝุ่น HEPA Filter แบตเตอรี่ใช้งานยาวนาน และหัวดูดหลากหลายสำหรับทุกพื้นผิว สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ bwell.co.th แล้วคุณจะพบว่า การเลือกเครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะกับบ้านของคุณ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
-
เครื่องดูดฝุ่นพร้อมถูพื้น Bwell รุ่น Flomo Lite9,990฿ -
ไส้กรองเครื่องดูดฝุ่น Bwell รุ่น 201A500฿ -
เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย รุ่น 201A6,990฿ -
ไส้กรองถ้วยเก็บฝุ่น Bwell รุ่น T12,T12 Plus,T12 PRO500฿ -
ไส้กรองเครื่องดูดฝุ่น Bwell รุ่น T12,T12 Plus,T12 PRO500฿ -
เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย รุ่น T12 Allergy Pro19,990฿ -
เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย รุ่น T12 Allergy Plus16,990฿

